ไม่ต้องเป็นนางฟ้า....ก็สามารถเดินอยู่ใน

::: JAPAN UPDATE : 2016-03-01 16:16:21

เมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วงปลายปีที่แล้ว เรามีโอกาสได้มาที่ฟุกุโอกะ(จังหวัดภาคใต้ของญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่ขึ้นชื่อของเกาะคิวชูเป็นครั้งแรก ครั้งนั้นเราก็มีเรื่องราวความประทับใจกับฟุกุโอกะไม่น้อยเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสะดวกสบายของการเดินทางจากสนามบินฟุกุโอกะเข้ามายังย่านตัวเมือง ที่สุดแสนจะง่ายดายและใช้เวลาน้อยมากกกกก เมื่อเทียบกับสนามบินอื่นๆในญี่ปุ่นที่เราเคยใช้บริการ





 หรือจะเป็นอาหารการกินที่สุดแสนจะหลากหลายละลานตาและอร่อยมากกกก โดยเฉพาะ มตสึนาเบะ หม้อไฟไส้หมูต้นตำรับขนานแท้ของที่นี่ ที่เป็นอาหารญี่ปุ่นสุดโปรดปรานของเรา หรือจะเป็นราเม็งชื่อดังแห่งฟุกุโอกะ ร้านอาหารแผงลอย ยาไต ตลอดจนไข่ปลาเมนไทโกะรสเผ็ด ขนมนมเนยสารพัดที่ล้วนแล้วแต่อร่อยไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ ภาคอื่นๆของญี่ปุ่นเลย….ทริปนั้นทำให้คิวชูและฟุกุโอกะ กลายเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่เราตั้งใจว่าจะกลับมาอีกให้ได้






เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ヽ(*^ー^)人(^ー^*)ノ อุ่ย!!! ไม่ใช่ เป้าหมายมีไว้เป็นแรงบันดาลใจและทำให้ได้ต่างหากล่ะ 55555 ถึงฤดูใบไม้ผลิปีนี้ เราพอจัดสรรเวลาว่างให้ตัวเองได้และหาตั๋วบินราคาเบาๆได้อีก เลยทำให้เป้าหมายที่ตั้งใจจะกลับมาที่ฟุกุโอกะและเกาะคิวชูเป็นครั้งที่ 2 จึงสำเร็จอย่างรวดเร็ว (≧∪≦☆)  ปลายเดือนเมษายน 58 ที่ผ่านมาเราได้กลับมาเจอฟุกุโอกะอีกครั้งอย่างมีเป้าหมายสำคัญ นั่นคือการกลับมากิน มตสึนาเบะอีกนั่นเอง 5555555 อ๊ะๆๆๆ แต่ไม่ใช่!!!! แค่นั้นหรอกนะคะ คือ  จริงๆเราตั้งใจอยากจะมาดูดอกไม้ชื่อดังของฟุกุโอกะอีกอย่างหนึ่งด้วย ก็ญี่ปุ่นไม่ได้มีดีแค่ดอกซากุระแสนหวาน หรือ โมมิจิหลากสี ที่ทุกคนรู้จักดีเท่านั้นนี่นาคราวนี้เราตั้งใจมาดูดอกไม้อีกหนึ่งชนิดในญี่ปุ่น ที่มีความงดงามตระการตาไม่แพ้ซากุระหรือใบไม้ดอกไม้ชนิดอื่นเลย ซึ่งดอกไม้ที่ว่านี้ก็คือ “ดอกวิสทีเรีย” (Wisteria) หรือ ดอกฟุจิแห่งเกาะญี่ปุ่นนั่นเอง ヾ(>∀<☆ヾ)                       










และสถานที่ชมดอกวิสทีเรียที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ก็คงต้องเป็นที่สวน Kawachi Fujien แห่งเมืองคิตะคิวชู จังหวัดฟุกุโอกะนั่นเอง เราเชื่อว่าทั้งเราและใครหลายๆคนต่างก็คุ้นเคยหรือได้เห็นรูปถ่ายสวยๆของดอกวิสทีเรียจากสวนแห่งนี้กันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตามเว็บไซด์หรือโลกโซเซียลซึ่งเกือบๆทุกเพจต่างก็บรรยายและร่ำลือถึงความสวยงามของอุโมงค์ดอกวิสทีเรียของสวนแห่งนี้ไว้เยอะแยะมากมาย จนกระตุ้นต่อมอยาก ทำให้เรามีเป้าหมายว่าจะต้องมาเห็นมันด้วยตาตัวเองให้จงได้ซักครั้ง ก็รูปถ่ายแต่ละรูปในเว๊บไซด์ มันช่างสวยงามหยาดเยิ้มหยดย้อยเกินบรรยายทั้งนั้น บอกเลยว่ามันสวยจนดูเกินความจริง ไม่ว่าจะด้วยสีสัน หรือ การจัดแต่งให้วิสทีเรียกลายเป็นอุโมงค์ทางเดินสีม่วงอมชมพูที่เหมือนทางเดินบนสรวงสวรรค์ ที่เราแทบนึกไม่ออกเลยว่าของจริงมันจะสวยเหมือนเสกดั่งในรูปจริงๆหรือเปล่าหนอ????






ครั้นได้ฤกษ์งามยามดี เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 เราก็ได้เวลาเดินทางไปหาดอกวิสทีเรียเสียที หลังจากเถลไถลท่องเที่ยวไปเรื่อยเปื่อยอยู่ 3-4 วันที่มาถึงคิวชู  สำหรับวิธีการเดินทางจากฟุกุโอกะไปชมวิสทีเรียที่สวน Kawachi Fujien ซึ่งอยู่ที่เมืองคิตะคิวชูนั้น เราใช้วิธีการนั่งรถไฟ Local จากสถานีฮากะตะ (JR Hakata) มุ่งหน้าไปยังสถานียาฮะตะ (JR Yahata) สำหรับใครที่มีบัตรเจอาร์ พาส หรือ เจอาร์ คิวชูก็สามารถเดินเข้าสถานีได้เลยหลังจากเช็คตารางเวลารถไฟแล้วโดยไม่ต้องจองตั๋ว (ก็มันเป็นรถไฟสาย Local หวานเย็นนิดๆจ้า) ส่วนใครไม่ได้ซื้อเจอาร์พาสมาด้วย ก็ให้ไปซื้อตั๋วได้ที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติหรือที่เคาท์เตอร์ ระบุสถานีปลายทางว่า ยาฮะตะ (JR Yahata) เท่านั้น ราคาไปกลับก็ประมาณสองพันกว่าเยนเท่านั้นจ้า  แล้วก็นังรถไฟอีกไม่เกิน 1 ชั่วโมงจนถึงสถานี JR Yahata แล้ว  หลังจากนั้นก็มีวิธีการเดินทางให้เลือกไปยังสวน Kawachi Fujien ด้วยกันอีก 3 วิธี นั่นคือ






1.นั่งรถเมล์ประจำทาง นิชิเทสึ ( Nishitetsu) สาย 56 จากสถานี  JR Yahata ไปยังป้าย Kawachi Shogakko-Mae หน้าโรงเรียนประถมคาวาชิ (Kawachi Elementary School) และต้องเดินผ่านอาจิซะโนยุออนเซน (Ajisa-no-yu onsen) ต่อไปประมาณสิบถึงสิบห้าก็จะถึงสวน
2.หรือเมื่อเดินออกมาจากหน้าสถานี JR Yahata ให้มองซ้ายไปยังป้ายรถเมล์สุดท้าย จะมี Shuttle Bus  ฟรี ไปยัง Ajisai no yu  Onsen (รถก็สังเกตง่ายๆจะมีลวดลายดอกวิสทีเรียตกแต่งอยู่รอบๆคัน)ซึ่งรถคันนี้จะไปจอดที่ อาจิซะโนยุออนเซน (Ajisa-no-yu onsen) แล้วเราก็เดินต่อไปอีกประมาณ 100 เมตร ก็จะถึงสวนจ้ะ (แต่รถจะมีรอบเวลา อย่าลืมดูเวลาทั้งขาไปและขากลับก่อนด้วยนะจ้ะ)
3.แต่ถ้ามากันหลายคน (3-4คน) เราแนะนำว่าให้เหมาแท็กซี่จากสถานี JR Yahata ไปเลย บอกจุดหมายปลายทางว่า Kawachi Fujien หรือ วิสทีเรีย รับรองคนขับแท็กซี่แถวนั้นรู้จักดีทุกคน ราคาก็ประมาณสองพันเยนนิดๆ (สำหรับขาไป) เราก็จะได้ความรวดเร็ว สะดวก สบาย และเมื่อหารกันแล้วก็ไม่กี่ร้อยเยนเท่านั้น






ก่อนจะไปชมความงามของดอกวิสทีเรียที่สวน Kawachi Fujien  เราขอแบ่งปันข้อมูลน่าสนใจของเจ้าดอกไม้แสนสวยนี้เสียหน่อยก่อนนะจ้ะ ดอกฟูจิ หรือ ดอกวิสทีเรียนี้ จัดเป็นไม้เถา ตระกูลถั่ว ที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ และสามารถออกดอกได้ดกมาก ชนิดที่ว่าออกดอกเบียดเสียดกันได้ถึง 40 ช่อต่อหนึ่งตารางฟุตเลยทีเดียว และสามารถให้ดอกกว่า 1.5 ล้านช่อในทุกๆปี จนมันได้รับฉายาว่าเป็นหนึ่งในเจ็ด ต้นไม้มหัศจรรย์ของโลก (one of the seven horticultural wonders of the world) เจ้าวิสทีเรียนี้เป็นไม้ที่ผลัดใบ โดยใบของมันจะร่วงในฤดูหนาว พออากาศเริ่มอุ่นขึ้นก็ได้เวลาออกดอก (วันที่เราไปเจอหน้าวิสทีเรีย เค้าแทบไม่มีใบให้เห็นเลยละจ้ะ) แต่บางสายพันธุ์ในเอเชียจะออกดอกไปจนถึงฤดูร้อนอีกด้วย นอกจากนี้วิสทีเรียยังมีหลายสายพันธุ์ จึงทำให้มีความหลากหลายของลักษณะดอก หลากหลายขนาด และหลากหลายสีสัน ไม่ว่าจะเป็นสีขาว สีชมพูหรือสีม่วงหลากหลายโทน เถาที่ไต่ของวิสทีเรียนั้นมักจะไต่วนตามเข็มนาฬิกา และสามารถไต่ได้สูงถึง 20 เมตรเหนือพื้นดินกันเลยทีเดียว โดยเถาของมันสามารถแผ่กระจายออกไปได้ถึง 10 เมตรโดยรอบต้น ส่วนขนาดของช่อดอกที่ห้อยลงมาก็จะมีความยาวตั้งแต่ 10 – 80 เซนติเมตรกันเลยทีเดียวจ้ะ






และด้วยความที่วิสทีเรีย เป็นไม้ตระกูลถั่ว แถมมีลักษณะดอกคล้ายดอกสวีทพีเสียด้วย ใครหลายคนก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นดอกไม้ที่กินได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ดอกวิสทีเรียเป็นต้นไม้มีพิษ ติดอันดับหนึ่งในสิบของดอกไม้อันตราย ไม่สามารถนำมากินได้แต่อย่างใด ซึ่งในหนังสือ Handbook of Poisonous and Injurious Plants บอกเอาไว้ หากใครกินเข้าไปจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เป็นตะคริว และท้องร่วงได้เลยนะจ้ะ….แบบนี้ใช่ไหมหนอ???ที่เค้าเรียกว่าสวยอันตราย!!!!!
(ที่มาของข้อมูล http://www.kongkapan.com และhttp://board.postjung.com/661038.html )










เอ้า!!! จบเรื่องวิชาการน่ารู้กันไปแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเวลาชมความงามของวิสทีเรียกันเสียที กลิ่นหอมยวนยั่วของวิสทีเรียลอยมากวักมือเรียกหาเราแล้ว…เฮ้อ!!!ดอกฟูจิจ้า คุณช่างเป็นดอกไม้กลิ่นหอม ที่ส่งกลิ่นสดชื่นรื่นเย็นเป็นที่สุดจริงๆเลยน้าาา…. วันที่เราไปชมดอกวิสทีเรียนั้น ถือว่าโชคดีสุดๆ เพราะอยู่ในช่วงเวลาพีคหรือบานสะพรั่งเต็มที่ที่สุดของดอกวิสทีเรียเลยล่ะ แต่นั่นก็ทำให้ค่าเข้าชมสวนมีราคาสูงถึง 1000 เยนเลยทีเดียว อ่อ!!! แต่เราก็ชอบวิธีคิด และวิธีการเก็บค่าเข้าชมสวนของคนญี่ปุ่นมากๆ คือ แทบจะทุกสวนที่เปิดให้เข้าชมความงามของดอกไม้ใบหญ้า จะมีการปรับราคาค่าเข้าชมขึ้น-ลง ตามการเบ่งบานของดอกไม้ใบหญ้าในสวน เรียกว่า ถ้าอยากรู้ว่าสวนนี้สวนไหน ดอกไม้บานสวยเต็มที่แล้วหรือยัง ก็ให้ดูจากราคาค่าเข้าชมได้เลย ช่วงที่บานเต็มที่สวยที่สุด ก็จะมีค่าเข้าชมแพงที่สุดตามที่เค้ากำหนดราคาสูงสุดไว้ ช่วงไหนดอกไม้ใบหญ้าในสวนเพิ่งเริ่มบานหรือกำลังร่วงโรย ค่าเข้าชมก็จะถูกปรับให้ถูกลงโดยอัตโนมัติ เรียกว่านอกจากราคาค่าเข้าชมจะช่วยบอกได้ว่าสวนนี้สวยเต็มที่อยู่ในช่วงพีค ใช่หรือไม่แล้ว เรายังรู้สึกได้ถึงความซื่อสัตย์ไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยวหรือคนที่ตั้งใจมาชมสวนอีกด้วย เพื่อนๆคิดเหมือนกันกับเราไหม???  
        และหลังจากจ่ายค่าเข้าชมสวนเรียบร้อยแล้ว โดยซุ้มขายตั๋วก็จะตั้งอยู่หน้าอุโมงค์ดอกวิสทีเรียนั่นเลย ก็ได้เวลาชมความงามกันเสียที ที่สวน Kawachi Fujien แห่งนี้ เราบอกเลยว่าเค้าตกแต่งแลนด์ สเคปได้สวยงามมาก โดยเค้าทำเป็นซุ้มอุโมงค์วิสทีเรียให้นักท่องเที่ยวเดินลอดเป็นทางยาวตั้งแต่หน้าสวนเลยล่ะ  ครั้งแรกที่เราก้าวเท้าเข้าสู่อุโมงค์ดอกวิสทีเรียแห่งนี้ เรารู้สึกได้ถึงความสวยงามที่มาพร้อมกับความสดชื่น สดใส ของดอกวิสทีเรีย และได้เห็นถึงทัศนียภาพที่สวยงามของพวงดอกไม้หลากสีสันที่เป็นพวงระย้าสวยงามอยู่ทั้งด้านบนและรอบข้าง บางมุมมันก็เหมือนอุโมงค์สายรุ้งสีหวาน บางมุมมันก็เหมือนทางเดินสวรรค์ วินาทีนั้นเรารู้สึกว่า ที่นี่ช่างเป็นสถานที่ ที่สุดแสนจะโรแมนติก งดงามเกินบรรยาย จนเรารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินอยู่ในสรวงสวรรค์หรือในดินแดนแห่งเทพนิยายแสนหวานเรื่องใดเรื่องหนึ่งเลยละ วินาทีนั้นสายตาและหัวใจของเรามันเพลินกับความงดงามตรงหน้า จนลืมจำนวนผู้คนมากมายที่เข้ามายลความงามของอุโมงค์วิสทีเรียด้วยกันไปจนหมดสิ้น ทั้งๆที่วันนั้นมีคนเข้ามาเที่ยวชมสวนไม่น้อยเลยทีเดียว






สำหรับที่สวน Kawachi Fujien แห่งนี้ มีพื้นที่โดยประมาณ 10,000 ตารางเมตร และมีต้นวิสทีเรียราวๆ 150 ต้น แบ่งเป็นสายพันธุ์ต่าง ๆ ถึง 20 สายพันธุ์ ทำให้ดอกวิสทีเรียในสวนนี้ มีหลากหลายสีสัน และสวยงามแตกต่าง คละเคล้ากันไป โดยมีตั้งแต่สีขาวบริสุทธิ์ สีชมพู  หรือสีชมพูอมม่วง สีม่วงอมน้ำเงิน  ไปจนถึงสีม่วงเข้ม ที่ต่างแข่งกันออกดอกแบ่งบาน เบียดเสียดเป็นพวงห้อยระย้าละลานตา งดงามจนสุดจะบรรยาย สำหรับสวนแห่งนี้ตามข้อมูลบอกว่าเปิดมาตั้งแต่ปี 1977 และเค้าเปิดให้เข้าชมสวน แค่ 2 ช่วงเวลาเท่านั้นนั่นก็คือในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ดอกวิสทีเรียเบ่งบานแบบนี้ กับอีกช่วงเวลานึง ก็คือในฤดูใบไม้ร่วง หรือใบไม้เปลี่ยนสีนั่นเอง  และช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาชมดอกวิสทีเรียของสวน Kawachi Fujien คือช่วงต้นเดือนพฤษภาคมแบบนี้นี่แหละจ้ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละปีของญี่ปุ่นด้วยนะ 






นอกจากอุโมงค์ดอกไม้หลากสีที่ทอดยาวเป็นหลายสิบหลายร้อยเมตร 2 อุโมงค์แล้ว ในสวนก็ยังมีจุดที่น่าสนใจอีกหลายจุดไม่ว่าจะเป็นโดมดอกวิสทีเรียอีก 2 แห่ง หรือ ในระหว่างทางเดินของอุโมงค์ก็มีการทำระแนงดอกวิสทีเรียขนาดใหญ่ ที่เค้าทำทางเดินไม้ให้เราได้เดินชม เดินดมกลิ่นดอกวิสทีเรียอย่างใกล้ชิดสุดๆอีกด้วย บอกเลยว่าเราชอบบริเวณนี้ไม่น้อยกว่าตรงอุโมงค์เลยละ เพราะดอกวิสทีเรียบริเวณนี้จะห้อยระย้าลงมาละถึงหัวถึงหน้าเราเลย  และอีกอย่างหนึ่งที่เราชอบมากๆเช่นเดียวกันก็คือ เราจะได้ยินเสียงขยับปีกบินของเหล่าแมลงภู่ ผึ้ง ภมร ที่ต่างบินวะว่อนเคล้าคลอเคลีย ดูดดื่มน้ำหวานและกลิ่นหอมของดอกวิสทีเรียอย่างเพลินใจไม่แพ้คน มันช่างเป็นภาพและเสียงของธรรมชาติ ที่ทำให้การเดินชมดอกไม้เป็นไปอย่างรื่นรมย์สมใจจนบรรยายไม่ถูกจริงๆ  และถ้ายังไม่จุใจภายในบริเวณสวนเขาก็ยังจัดวางเก้าอี้ไม้ง่ายๆ ไว้เป็นระยะๆให้ทุกคนได้นั่งพัก นั่งชื่นชม นั่งดมกลิ่นหอมชื่นใจของวิสทีเรียให้หนำใจอีกด้วย




บอกเลยว่า ตลอดทั้งบ่ายวันนั้น เราใช้เวลาละเลียดชม ดมกลิ่นดอกวิสทีเรีย อย่างช้าๆไม่เร่งรีบ เรียกว่า ค่อยๆเดิน ค่อยๆเพลิน อย่างไม่ได้สนใจมองนาฬิกา นอกจากนั้นการมีเวลาได้บรรจงบันทึกภาพ(ถ่าย)เจ้าดอกไม้วิเศษของแดนสวรรค์แห่งนี้ ก็ยิ่งทำให้เราเพลิดเพลินจนลืมเวลาปิดสวน มารู้สึกตัวอีกที ก็คือ หันซ้ายหันขวาแล้วเจอเพื่อนอีกแค่ 5-6 คน ที่ค่อยๆเดินชื่นชมสวนเหมือนกันกับเรา ซักพักก็มีคุณลุงคนนึง ที่คงเป็นคนดูแลสวนเข้ามาตามพวกเรา และส่งภาษา(ญี่ปุ่น)ว่าหมดเวลาการเข้าชมความงามแล้ว จึงทำให้พวกเราที่เหลือต้องเดินกลับออกมายังบริเวณทางออก (ซึ่งเป็นจุดเดียวกับบริเวณซุ้มขายบัตรเข้าชมนั่นเอง)    




และก่อนจะเดินพ้นออกจากสวนเราหันกลับไปมองอุโมงค์วิสทีเรียจุดแรกที่เราก้าวเท้าเข้ามาชมสวนอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้ตลอดทั้งอุโมงค์ไร้ซึ่งผู้คน ทำให้อุโมงค์ดอกไม้สีหวาน ยามหกโมงเย็น ในเวลาแดดร่มลมตก มีเพียงแสงอาทิตย์ลอดเข้ามาเป็นแสงสุดท้าย ดูสงบ สวย สะอาด งดงาม เจิดจรัส จับตาจนสุดจะพรรณนา พี่คนไทยที่มากับเรา หันไปบอกคุณลุงคนดูแลสวนด้วยภาษาอังกฤษสั้นๆง่ายกว่า Ten  minutes please!!please!! พร้อมกับโค้งศีรษะเป็นการขอความกรุณาอย่างที่สุด ดูเหมือนคุณลุงจะเข้าใจทีท่าและสายตาอันเว้าวอนของพวกเรา จึงยกมือขึ้นพร้อมกับพยักหน้าให้อนุญาต และบอกว่า ok!! (ด้วยสำเนียงญี่ปุ่น) (^0^)ノ








ทุกคนและเราจึงรีบยกกล้องขึ้นมาลั่นชัตเตอร์รัวๆแบบติดสปีด เพื่อบันทึกภาพอันงดงามตรงหน้าภายในเวลาอันจำกัดให้ได้มากที่สุดและดีที่สุดให้จงได้….เมื่อหมดเวลาอันแสนสุขแล้ว พวกเราก็พร้อมใจกันหันไปโค้งคำนับให้กับคุณลุงคนดูแลสวนพร้อมกับเอ่ยคำว่า domo arigato gozaimashita อย่างรู้สึกขอบคุณในความกรุณาของคุณลุงอย่างที่สุด   ≧∀≦
เฮ้อ!!!มันช่างเป็นวินาทีสุดท้ายของการชมสวนที่คุ้มค่า และติดตาตรึงใจสำหรับเราจริงๆ….. ไม่อยากเชื่อเลยว่า…ไม่ต้องนอนหลับให้ฝัน ไม่ต้องนั่งจินตนาการ หรือไม่ต้องเกิดเป็นนางฟ้า เทพธิดาที่ไหน…เราก็สามารถเดินอยู่ในสรวงสวรรค์ (บนดิน) อันงดงามแบบนี้ได้จริงๆแล้ว….SUGOI!!!! JAPAN!!! (≧∪≦☆)