หนีร้อน มาหารัก ณ อิวาเตะ (Iwate) Part 1

::: JAPAN UPDATE : 2017-03-21 07:01:33

      สำหรับทริป "หนีร้อน มาหารัก 5 คืน 4 วัน" นี้ ก็ไม่มีอะไรมาก ก็หนีร้อนมาจริง เดินไปซื้อข้าวทีแทบละลาย ในส่วนของรักนั้น เขาบอกว่าที่ อิวาเตะ มีจุดสำหรับขอพรเรื่องความรักด้วย คิคิ 
      แต่ก่อนจะไปไหนไกล บอกเลยว่าเมื่อได้ยินชื่อ "อิวาเตะ" เสียงนี้ก็ดังในหัว  “วั้ยตรั่ยแล้ววววว...มีจังหวัดนี้อยู่ในญี่ปุ่นด้วยหรอ? งง...เหมือนกันใช่ไหม (เอ๊ะ! หรือรู้จักกันอยู่แล้วนะ) แต่เขาไม่รู้จักจริง จริ๊งงงงง ในญี่ปุ่นรู้จักแค่ โตเกียว เกียวโต โอซาก้า ฮอกไกโด แค่นี้เอง แต่ด้วยความที่พี่กู๋เกิ้ลของเรานั้นเป็นคลังความรู้อย่างดีเยี่ยม ก็ทำการเสิร์ชหาข้อมูลก็ได้ข้อมูลกับมาเพียงนิดหน่อย ว่า อิวาเตะนั้น อยู่ภูมิภาคโทโฮคุ เทียบเคียงเองว่าน่าจะแถบโซนอีสานบ้านเฮา เพราะเหนือขึ้นไปก็คือ ฮอกไกโด ค่ะ
     


          หลังจากเช็คข้อมูลให้เพียงพอล้อเลี้ยงสมองนิดหน่อยแล้ว ต่อไปก็ต้องเช็คสภาพอากาศเพื่อจะได้เตรียมเสื้อผ้าให้เพียงพอ ตรงกับสภาพอากาศ และแฟชั่นล้ำสมัยรันเวย์ยังต้องปรบมืออีกด้วย (เวอร์ไปเรื่อย) ช่วงที่อันตัวเราเดินทางไปนั้นคือ 9 - 13 กุมภาพันธ์ 2017 อากาศโดยประมาณเฉลี่ยไม่เกิน 5 องศาฯ จนถึงติดลบ -3 องศาฯ คำเตือนย่อหน้าถัดไปจะเกี่ยวกับอุปกรณ์กันหนาวที่อันตัวเราเตรียมไป ใครรู้แล้วข้ามไปย่อหน้าถัดไปได้เลยนะฮ้าฟฟฟฟฟฟ

         อุปกรณ์กันหนาว...ที่เราเตรียมตัวไปอย่างคร่าว ๆ ก็มี "กางเกงและเสื้อฮีทเทค" "เสื้อสเวตเตอร์" ส่วนตัวนอกสุดก็จะเป็น "เสื้อกันหนาวขนเป็ด" หรือขนอะไรก็ได้ ที่มีคุณสมบัติกันน้ำและให้ความอบอุ่นดี ทำไมต้องกันน้ำ เพราะเจ้าหิมะที่ล่วงลงสู่เราขณะเดินสวย ๆ ถ่ายรูปท่ามกลางหิมะนั้น มันจะสลายตัวเองกลายเป็นน้ำเกาะตามเสื้อเรา น้อย ๆ ก็พอทนได้ แต่ถ้ามาเยอะๆ จะทำให้เราทั้งเปียกทั้งหนาวยะเยือกเลยล่ะค่ะ ในส่วนของกางเกงก็ตามสะดวกค่ะ อันตัวเราเตรียมแต่ยีนส์ไป ด้านในก็เป็น "กางเกงฮีทเทค" ถ้าเซฟหน่อยก็มี "กางเกงแบบกันน้ำ-กันลม" ด้วยก็ดีนะคะ ลองเท้าก็จะบูทยาวสั้นก็ตามสะดวก แต่ควรเลือกที่กั้นน้ำ มีบุขนด้านใน และพื้นรองเท้าควรจะลึก เพราะจะได้ยึดเกาะพื้นได้ดี "แผ่นทำความร้อนที่ชื่อว่า Kairo" อันนี้ก็ช่วยให้ความได้เยอะเหมือนกัน หรือ จะเอาอุ่นด้วยอร่อยด้วย ก็หาตู้กดเครื่องดื่มแบบร้อน เลือกเครื่องดื่มร้อนที่ต้องการ เอามาใส่กระเป๋าเสื้อไว้อุ่นดี-อุ่นนานได้เหมือนกันนะคะ ในส่วนของผ้าพันคอ ถุงมือ หมวกก็อย่าลืมเตรียมกันไปด้วยนะคะ เพราะมือ หู และศรีษะของเราจะเย็นง่ายมาก ปล. เตรียมเสื้อกันหนาวหนาไปตัวเดียวก็พอเพราะกระเป๋าจะได้เพียงพอให้แพ็คของฝากกลับมาได้ แต่ก็ตามแต่สะดวกนะคะ ส่วนตัวด้านในจะไม่ใส่เยอะแค่สองชั้นเท่านั้น เพราะเวลาเข้าในอาคารหรือรถไฟ จะอุ่นมากๆ จนต้องถอดเสื้อกันหนาวด้านนอกออก ถ้าใส่มาหลายชั้นอาจจะทำให้ร้อนเกินไปนะคะ


         เอาละค่ะ อันตัวเรา...เสื้อผ้าพร้อมแล้ว ก็เตรียมจรลีนอนและตื่นไปเช็ค-อินน์ในวันพรุ่งให้ทันก็พอ และแน่นอนว่าทันอยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะมีรูปมารีวิวได้อย่างไร 

DAY 1 ( 9 ก.พ. 2017 )


        สำหรับ
เวลาบินเราเลือกบินช่วงเช้า ประมาณ 10 โมงกว่า ๆ แต่ดีเลย์ไปชั่วโมง เริ่มต้นดีชิมๆ
        กว่าจะไปถึงญี่ปุ่นก็มืดตึ้บพอดี แต่ดีที่พักโรงแรมของสนามบินเลย เครื่องลงก็เอาของเก็บและลงมากินข้าวเย็น อาบน้ำปะแป้ง เช็ค-อินน์เฟสบุ๊คว่ามาถึงแล้วนะจ๊ะ จบด้วยเข้านอนพรุ่งนี้จะได้ ลุย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ได้เยอะ ๆ (สำหรับเที่ยวบินก็ตามแต่สะดวกนะคะบ้างคนอาจจะชอบบินถึงเช้าแล้วเที่ยวเลยก็ได้ แต่เขาขอนอนเก็บพลัง แล้วเที่ยวในวันถัดไปดีกว่าค่ะ)

DAY 2 ( 10 ก.พ. 2017 )

         เช้าวันที่สองออกจากโรงแรมที่สนามบินฮาเนะดะ ประมาณ 9 โมงเช้า มุ่งหน้าสู่สถานีโตเกียว เพื่อต่อ "ชินกันเซ็น สายโทโฮคุ" ไปยัง "จังหวัดอิวาเตะ" สภาพอากาศโตเกียวช่วงนั้นไม่มีซึ่งหิมะเลย อากาศเย็นนิดหน่อย แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าอิวาเตะนั้นหิมะหนามากกกก บอกเลยว่า  “ตกมาเล๊ย อยากเจอ”



         เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีก็มาถึงสถานีโตเกียว ซึ่งชินคันเซน ที่เราซื้อไว้นั้น ออกประมาณ 10.44 น. ราคา 13,230 เยน ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ เรามาถึงไวมีเวลาประมาณชั่วโมง เพราะกะไว้ว่า 10.20 น. ค่อยเดินไปรอตรงที่ขบวนรถไฟจอด เผื่อเวลาไว้หลงนิดหน่อย น่าจะใกล้ ๆ กับรถไฟมาพอดี ก็เลยหาที่นั่งพัก เดินดูร้านขนมซึ่งสถานีโตเกียวอยู่ในช่วงอีเว้นซ์วาเลนไทน์พอดี ขนมต่าง ๆ ก็เลยอยู่ในธีมของความรัก แม้แต่กาแฟก็ยังเป็นรูปหัวใจ  หนึ่งชั่วโมงเหมือนนาน แต่จริงๆ เวลาผ่านไปไวมาก ยังเดินดูไม่ครบเลย เมื่อใกล้เวลาก็รีบจรลีมุ่งหน้ายังจุดที่ขบวน ชินคันเซ็น สายโทโฮคุจะเข้าจอด


- คนไม่ค่อยเยอะ น่าจะเลยเวลาทำงานแล้ว -

         
          ในระหว่าง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ที่ชินคันเซ็นกำลังพาเราไปยัง จ.อิวาเตะ นั้น ใกล้เที่ยงแบบนี้ ก็ต้องเตรียมข้าวกล่อง (Ekiben) มากิน  เมื่อไปถึงจะได้ลุย ๆ ๆ หรือใครมิทันเตรียม ในขบวนก็มีให้เลือกซื้อเหมือนกันค่ะ 


- EKIBEN -
 

- บรรยากาศในเมือง -
 

- เริ่มออกนอกเมืองมากขึ้น -
 
        ด้วยความที่บ้านเมืองเขาแตกต่างจากบ้านเราวิวสองข้างทางเป็นอะไรที่แบบชวนมองมาก แต่ก็ยังไม่เห็นหิมะสักเท่าไหร่ก็แอบคิดในใจว่า ที่เจ้าหน้าที่บอกว่าอิวาเตะนั้นมีหิมะมากมายจริงเหรอ นี่ก็วิ่งมาชั่วโมงกว่ายังหลอมแหลมอยู่เลย
       แต่เมื่อผ่าน สถานีเซนได เท่านั้นล่ะ ภัทรศยามาก (พีคมากกกกกก 5555 ตลกคนเดียว) หิมะอย่างหนา! วิวแบบว่าโดดออกมาจากจังหวัดที่ผ่านมามากเลย บอกเลยว่าดีใจโครต (ขออนุญาตพูดจาไม่เพราะนะคะ ตื่นเต้นจริงๆ ) มาฤดูหนาวก็อยากมาเจอหิมะนี่หน่า



- เข้าสู่ จ.อิวาเตะ มีแต่หิมะและหิมะ -


          ได้ยินแว่วๆ มาว่าใกล้ถึงสถานีอิชิโนะเซกิ (Ichinoseki Sta.) ก็เตรียมจัดแจงข้าวของ และห่อตัวให้พร้อม เตรียมลุยกับหิมะและอากาศเย็นยะเยือก เมื่อก้าวออกจากชินคันเซ็น ขนาดมีแค่พื้นที่ช่วงตายังรู้สึกยะเยือกเลย แต่ในใจก็ลิงโลดมาก ชะนีไทยจากประเทศร้อนที่หนาวสามวัน ร้อนตลอดปี ได้สัมผัสกับอากาศเย็นที่แบบ เหมือนแช่อยู่ในตู้เย็นแล้วววว (บรรยายมากจุง เขาตื่นเต้นจริงๆ น้า ยังจำความรู้สึกได้อยู่เลย)


- ตัวอย่างของวันนี้ -

          และสถานที่ที่เราจะไปนั้น เป็นเขตมรดกโลก ชื่อว่า มรดกโลกฮิราอิซุมิ (The World Heritage Site Hiraizumi 2009) ค่ะ 
          
ฮิราอิซุมิ คือชื่อเมืองที่เรากำลังจะเดินทางไปค่ะ ซึ่งที่เมืองนี้ก็จะมีสถานที่ที่เป็นมรดกโลกกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งเมือง แต่หลายสถานที่นั้นถูกทำลายไปแล้วในช่วงยุคสงคราม ศตวรรษที่ 14 จะเหลือเพียงแค่หนึ่งที่ที่ยังสมบูรณ์อยู่ นั่นก็คือ วัดจูซงจิ ( Chuson-ji Temple )
          
วิธีเดินทาง ถ้ามาจากสถานีอิชิโนะเซกิ โดยรถยนต์ ใช้เวลาประมาณ  30 นาที แต่ถ้าถนัดนั่งรถไฟก็สามารถขึ้นรถไฟ JR สาย TOHOKU LINE มาลงที่ สถานีฮิราอิซุมิ ( Hiraizumi Sta. ) จะต่อรถแท็กซี่ประมาณ 5 นาที หรือรอบัสไปยังวัดก็ได้ค่ะ ถ้าเดินก็เหน็ดเหนื่อยเอาการค่ะ



          เมื่อเดินทางถึงก็ทำการซื้อตั๋ว ผู้ใหญ่ 800 เยน อาณาเขตที่นี่ก็กว้างใหญ่ไพศาล ที่วัดแห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเทนได  สร้างในปี ค.ศ. 850 โดย พระจิคาคุไดชิเอ็นนิน ฟูจิวาระคิโยฮาระ ต้นตระกูลฟูจิวาระแห่งโอชู สร้างเพื่ออุทิศให้แก่ดวงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม หนึ่งในสัญลักษณ์ของวัดนี้ ก็คือ วิหารทองคำ (Konjikido) ด้านในห้ามถ่ายภาพค่ะ
          จากที่ไปสัมผัสด้วยตาตัวเอง สวยมากค่ะ  อาคารที่เราเห็นด้านนอกนั้นเขาสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อครอบวิหารทองคำไว้ด้านใน พอออกมาด้านนอก ก็มีอาคารไม้โบราณกระจายอยู่ทั่วทุกที่ ตั้งอยู่ท่ามกลางหิมะ โอบล้อมด้วยต้นสนสีเขียว สวยมากจนลืมหนาวไปเลยค่ะ
                          

 

- สวนดอกบัวที่ปกคุมไปด้วยหิมะ -
        

- บรรยากาศภายในวัดจูซงจิ มีเชือกฝากไว้กันลื่นด้วย -
 
               สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจในความใส่ใจของคนญี่ปุ่น ก็คือ กล่องนี้ค่ะ ด้านในจะมีเชือกฟาง (น่าจะใช่นะคะ) นำมาผูกรองเท้าแบบนี้ จะช่วยลดความลื่นให้กับเรานั่นเองค่ะ 



              ต่อจากวัดจูซงจิ เดินทางโดยรถอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ไปยัง พิพิธภัณฑ์มิยาซาวะเคนจิ (Miyazawa Kenji Museum) ถ้าหากใครเป็นแฟนหนังสือวรรณกรรมเด็ก “รถไฟสายช้างเผือก” ( 銀河鉄道の夜 ) ก็อาจจะคุ้นชื่อนี้เป็นอย่างดี แต่ตอนที่เขามีชีวิตอยู่ หนังสือเล่มนี้และบทความอื่น ๆ ของเขากลับไม่เป็นที่รู้จักเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเขาเสียชีวิตผลงานของกลับเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะบอกเล่าชีวประวัติของเขา รวมถึงจัดแสดงความรู้แขนงต่าง ๆ ที่ มิยาซาวะ เคนจิ มีความเชี่ยวชาญและสนใจ เช่น วิทยาศาตร์ ศิลปะ จักรวาล ศาสนา (Lotus Sutra) การเกษตร เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการกินมังสวิรัติอีกด้วยค่ะ จากการที่เดินดูจนทั่ว ส่วนตัวคิดว่าเขาเป็นคนที่อัจฉริยะคนหนึ่งของญี่ปุ่นเลยค่ะ มีความรู้และความสามารถครอบคุมทั้งศาสตร์และศิลป์ เสียดายที่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้านใน เขาจัดแสดงได้น่าสนใจมาก




        
         สำหรับที่พักวันนี้เราไปพักที่ Hotel Senshukaku อยู่ที่ ฮานามากิ อนเซ็น (Hanamaki Onsen)  เป็นแหล่งอนเซ็นที่ใหญี่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ บริเวณนี้ประกอบไปด้วยทั้งหมด 4 โรงแรมด้วยกันค่ะ Hotel Senshukaku, Hotel Hanamaki, Hotel Koyokan มีทางเดินเชื่อมถึงกัน แต่ละโรงแรมมีอนเซ็น แยกชาย-หญิงและสามารถไปเข้าอนเซ็นได้ทั้ง 3 โรงแรม แช่แบบตัวเปื่อยกันไปเลยค่ะ อีกหนึ่งแห่งชื่อว่า Kashoen ค่ะ


- บรรยากาศด้านนอกเต็มไปด้วยหิมะ สะใจอิช้อยนัก! -
 

- ห้องพักของเขาเองกว้างมาก มียูกะตะ กับ ผ้าสำหรับเข้าอนเซ็นไว้ให้ด้วย -


- วิวยามเช้าจากหน้าต่างห้อง -

 
         ก่อนจะไปกินมื้อเย็น เจ้าหน้าที่ของโรงแรมก็ใจดีพาเราไปชมห้องที่ประทับของ สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น ได้เสด็จฯ มาประทับ ณ โรงแรมแห่งนี้ เมื่อปลายปีที่แล้วนี่เองค่ะ เป็นบุญของข้าพเจ้าเหลือเกิน จากนั้นเดินทางไปยัง Kashoen เพื่อชมที่ประทับของเจ้าชายนะรุฮิโตะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น เช่นกัน


-  ห้องที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น -
 

- สวนของ KASHOEN ที่ประทับของ เจ้าชายนะรุฮิโตะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น - 


- ห้องที่ประทับของ เจ้าชายนะรุฮิโตะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น - 

         ในส่วนของมื้อเย็นนั้น เป็นแบบบุฟเฟต์ที่มีให้เลือกหลากหลายเมนู ซึ่งวัตถุดิบก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามแต่ฤดูค่ะ เมนูที่อันตัวเราชอบที่สุดก็เป็นพวกหม้อไฟต่างๆ แกล้มกับสาเกท้องถิ่น นอนหลับฝันดีแล้วค่ะคืนนี้

         รายละเอียดเพิ่มเติ่ม : http://www.hanamakionsen.co.jp/




- มีอาหารให้เลือกทั้งญี่ปุ่นและเทศ เปรมสิคะงานนี้ -


- ขาปูวววววววววววว์ -
 
- อาหารเลิศรส ก็ต้องคู่กันกับสาเกท้องถิ่น -
 
DAY 3 ( 11 ก.พ. 2017 )


- ตัวอย่างวันนี้ -

             สำหรับแพลนเที่ยวใน จ.อิวาเตะ วันนี้นั้นเป็นการเที่ยวเบา ๆ ไปแค่ 2 ที่เองค่ะ ซึ่งที่แรกก็คือ แก่งเกบิเกะค่ะ เราออกเดินทางจาก ฮานามากิ อนเซ็น ไปยังแก่งเกบิเก (Geibikei Gorge) อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของอิวาเตะ เป้าหมายหลักที่เราอยากจะไปที่นี่ ก็คือจะไปขอพรแหละ อิอิ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ช.ม. แต่ถ้าใช้รถไฟก็ลงที่สถานี Geibikei เดินไปอีกประมาณ 5 นาทีค่ะ




- เดินเข้ามาก็จะเจอจุดสำหรับติดต่อลงเรือ จากนั้นก็เดินทะลุเข้าไปเลย -


จุดลงเรือ -

            เนื่องจากเรามาที่เกบิเกะใกล้เที่ยงพอดีก็เลยจัดคอร์สล่องเรือพร้อมชุดอาหารกลางวันซะเลย จุดเด่นของฤดูหนาวก็คือ จะมี หม้อไฟนาเบะ ไว้ซดแก้หนาวด้วยค่ะ สำหรับหลังคาของเรือถ้าเป็นฤดูอื่น ๆ เขาจะถอดออกค่ะ ที่ใส่มาเพราะช่วยกันลมหนาวให้นั่นเอง


- ชุดอาหารกลางวัน -


- นาเบะและสาเก แก้หนาววววว -
 

- นกเป็ดน้ำ พนักงานต้อนรับของ เกบิเก -

            ระหว่างที่ล่องเรือไปยังจุดหมายก็จะได้กินข้าวและชมวิวไปด้วย จุดหมายที่เราจะไปนั้น เขาเรียกกันว่า จมูกราชสีห์ หรือ Geibi เป็นที่มาของชื่อที่นี่นั่นเอง ปกติแล้วไม่ค่อยปลื้มกับอาหารญี่ปุ่นเท่าไหร่ เพราะติดอาหารรสแซ่บ ๆ แต่พอได้กินข้าวกลางวันและชมสองข้างทางไปด้วย คือ...มันทั้งเพลิน ทั้งช่วยชูรสอาหารไปในตัวอีกด้วย จริงๆ ไม่ได้โม้! กินได้สักพักก็หันมาเล่นกับนกเป็ดน้ำ ทั้งว่ายขนาบข้างเรือ ทั้งว่ายนำเรืออีกต่างหาก ชิวเวอร์ ลืมบอกไป พี่ฝีพายของเรายังขับร้องเพลงให้เราฝังตลอดทางอีกด้วย อารมณ์คล้ายๆ ขับเสภาบ้านเราเลยค่ะ ทั้งเพลิน ทั้งชิว แป๊บเดียวก็มาถึงอีกท่าแล้ว

 

- เขาเชื่อว่ามีเทพเจ้าสถิตย์อยู่บริเวณช่องหินนั้น -
 

- ฝีพายจากเรือลำอื่น -

            เรือก็จะมาจอดเทียบท่า เพื่อให้เราเดินไปยังจมูกราชสีห์ค่ะ บริเวณนั้นก็มีอีกหนึ่งไฮไลท์ที่บอกเลยว่าเป็นเป้าหมายหลักของข้าพเจ้าเลย เพราะว่าบริเวณนี้จะมีจุดให้เราขอพรในเรื่องต่าง ๆ ทั้งการงาน เงินทอง อายุยืนยาว และความรัก โฟกัสที่อันนี้อย่างเดียว แต่เราต้องทำมิชชั่นโดยการโยน ลูกหินแห่งโชค หรือ Undama ให้เข้าช่องหินนี้ เขาเชื่อกันว่า...ถึงจะสมหวัง ด้วยความที่ไม่โลภมากเท่าไหร่ ก็เลยเลือกมา 3 ชิ้น (ไม่โลภเลยขร่ะ) คือ อายุยืนยาว ความรัก และรายได้ ครอบคลุมฝุด ๆ ฮ่า ๆ จากนั้นก็ทำการโยนให้สุดแขน ใส่ให้สุดพลัง
           ผลที่ออกมาก็คือ ไม่เข้าสักลูก T T หมดกัน จมน้ำไปแล้วความรักของฉัน ไม่เป็นไรได้ชมวิวสวยๆ ก็คุ้มแล้ว  หลังจากกินแห้วไปแล้ว เราก็เดินกลับไปยังเรือเพื่อเดินทางกลับไปยังจุดที่เราขึ้นเรือมานั่นเองค่ะ เป็นอันจบเป้าหมายแรกของวันนี้



- ปลายทางจากท่าเรือที่สอง -




ลูกหินแห่งโชค หรือ Undama -


- สุดพลังแล้ว ก็ยังไม่ถึง T T ความรักจบน้ำไปแล-


           

            จากเกบิเกเราจะเดินทางไปยัง เมือง Daitocho Ohara ประมาณ 40 นาที เพื่อไปชม "เทศกาล Daito Ohara Mizukake Matsuri" เป็นเทศกาลที่ผู้ชายจะนุ่งน้อยห่มน้อยท่ามกลางอากาศหนาว ๆ อร้ายยยยยย...เขิลจุง >////<
            เมื่อมาถึงเราก็เจอกับหนุ่มน้อย-หนุ่มใหญ่อยู่ในชุดกางเกงขาสั่นสีขาวจั้ว กับถุงเท้าและรองเท้าฟาง ดูเป็นชุดโบราณ แต่คือพวกคุณกำลังยืนเกือบเปลือยท่ามกลางอากาศโครตหยาวนะคะ เห็นแล้วขนลุกแทน แต่ทั้งหมดทั้งมวนนี้ ก็คือ ส่วนหนึ่งของ “เทศกาล Daito Ohara Mizukake Matsuri” ขอตั้งชื่อเองว่า เทศกาลสาดน้ำเย็นใส่ผู้ชาย (ตั้งชื่อพิลึกมาก)  ถ้าเดินทางมาด้วยรถไฟก็ลงที่สถานี  JR Surisawa Station ต่อแท็กซี่มาอีกประมาณ 10 นาที ค่ะ


- ใส่กันแค่นี้ ที่อุณหภูมิเกือบติดลบ -

             สำหรับเทศกาลนี้ได้รับการสืบทอดมากว่า 350 ปี ปี ค.ศ. 1657 หลังจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ใหญ่ โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 11 ก.พ. ของทุกๆ ปี อาจจะเป็นช่วงที่หนาวที่สุดของปีเลยก็ว่าได้ แต่จากที่ได้สัมผัสสภาพอากาศด้วยตัวเอง รู้สึกว่าไม่สามารถเอาอะไรโผล่ออกมาจากชุดได้เลย ยอมใจทุกคนจริง ๆ ทนได้ยังไง โดยเทศกาลนี้พวกเขามีความเชื่อว่าจะช่วยปัดเป่าไม่ให้เกิดเพลิงไหม้เหมือนในอดีต และปัดเป่าความเจ็บป่วย เพื่อให้ครอบครัวและตนเองมีสุขภาพที่ดี ก่อนที่พวกเขาจะทำการวิ่งฝ่ากระแสน้ำเย็นที่จะรุมสาดใส่นั้น พวกเขาจะต้องเดินทางไปทำพิธียังศาลเจ้า Daito Ohara Shrine ศาลเจ้าประจำหมู่บ้านเสียก่อน
           ในอดีตเทศกาลนี้จะอนุญาตให้เข้าร่วมเฉพาะผู้ชายในพื้นที่เท่านั้นและผู้ที่จะสาดน้ำเป็นผู้ชายเท่านั้นเช่นกัน แต่ปัจจุบันได้เปิดรับชายทั่วประเทศญี่ปุ่นร่วมถึงต่างประเทศก็มีค่ะ นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมจะเขียนสิ่งที่ปรารถนาไว้ที่ด้านหลัง เชื่อกันว่าจะสมหวังดั่งที่หวังไว้ค่ะ


- ด้านหลังเขียนคำภาวนาของแต่ละคนไว้ -

 

- คนเริ่มหนาแน่น -

           เมื่อเหล่าผู้เข้าร่วมทำพิธีสักการะศาลเจ้าประจำหมู่บ้านเสร็จเรียบร้อย ก็จะเดินเรียงแถวมาเพื่อเตรียมตัววิ่งฝ่าน้ำอันหนาวเย็น โดยจะต้องวิ่งฝ่า 3 ช่วงด้วยกันค่ะ
          ท้องถนนผู้คนเริ่มหนาตาขึ้นมาก รวมถึงบริเวณชั้นสองของบ้าน ล้วนถูกจับจองเต็มทุกหน้าต่าง บริเวณถนนก็จะมีถังน้ำกระจายอยู่ทั่วทุกจุด ตอนแรกน้ำก็ไม่เย็นเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่เมื่อตั้งอยู่นาน ๆ ท่ามกลางอากาศที่ต่ำกว่า 5 องศาฯ ก็กลายเป็นน้ำเย็นไปเสียแล้ว


- ผู้เข้าร่วมเดินทางมาจากศาลเจ้า -
 


- ข้างล่าง และ หน้าต่าง ต่างถูกจับจอง -
 

- ใกล้เวลาทั้งกล้อง ทั้งขันพร้อมมาก -
 
            เมื่อใกล้ถึงเวลา จะมีการกระจายเสียงทั่วทั้งบริเวณ ผู้ที่จะมีสิทธิ์สาดน้ำได้มีแต่ผู้ชายเท่านั้น และแล้วเหล่าชายผู้กล้าก็วิ่งมาด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับการสาดแบบไม้ยั้งของผู้เข้าร่วมด้วยกัน แอบโดนสาดไปด้วยหน่อยหนึ่งเพราะนั่งตรงข้ามกับถังน้ำ ความรู้สึกเหมือนโดนน้ำสงกรานณ์ที่แช่ด้วยน้ำแข็งแต่ที่บ้านเราอากาศยังร้อน แต่ที่นี่หนาวมาก โดนไปแค่เศษเสี้ยวยังสตั้นเลยค่ะ แต่นับถือใจคุณๆ เขาจริง ๆ เลยนะคะ วิ่งอย่างยิ้มแย้มเลย แต่บางคนทำหน้าเหย่เกก็มี แต่ด้วยความหวังและกำลังใจจากครอบครัวที่มีอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขาก็เลยสู้กับความหนาวได้อย่างสบาย ๆ  ดีใจมาก ๆ  ที่ได้มาเห็นอะไรแบบนี้
 
 

- คนแรกที่วิ่งมาแล้ว -
 
 

- มีทุกวัย -
 
 
 
- เบื้องหลัง -
 

- ต่างชาติก็มา - 
 
 

- ปีหน้าแวะมาชมกันนะ -
 
 
 
 
 
            จบจากเทศกาล เราเดินทางไปพักที่ Aeria Tono อยู่ที่เมือง Tono เพราะว่าพรุ่งนี้จะไปอีกหนึ่งสถานที่ที่จะพาเราย้อนกลับสู่อดีต ซึ่่งอยู่ที่เมือง Tono นี่เองค่ะ และยังมีอีก 2 เทศกาลฤดูหนาวรอเราอยู่ค่ะ
           สำหรับห้องพักของที่นี่นั้นมีตั้งแต่ธรรมดาจนหรูเลิศ ทั้งแบบเจแปนสไตล์-ผสมความโมเดิร์น หรือใครที่ต้องการความเป็นญี่ปุ่นจ๋า ห้องแบบเสื่อทาทามิมีให้เลือกเช่นกันค่ะ
           ในส่วนของมื้อเย็น ก็เป็นชุดอาหาร Kaiseiki ที่จัดมาในกล่องคอนโดแบบนี้ แปลกตามาก           ปกติจะเห็นวาง ๆ เรียงไว้ กล่องไม้นี้เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นงานฝีมือของคนที่นี่ค่ะ อาหารพร้อมแล้ว ก็ต้องไม่ลืมสั่งเบียร์ท้องถิ่นมาดื่มคู่อาหารด้วยนะคะ บอกเลยว่ารสชาติไม่ซ้ำ หลับสบายได้อีกหนึ่งคืน
           รายละเอียดเพิ่มเติ่ม : http://www.aeria-tohno.com/

- ชุดอาหารเย็นในกล่องสวยหรู -
 
 
 

- ห้องแบบทาทามิ -
 
 

- ห้องแบบญี่ปุ่นผสมโมเดิร์น -
 
 
จบ Part 1
สำหรับ Part 2 ไม่ต้องรอ ให้ท้อ
คลิ๊กเลยจ้า : 
http://sugoijp.com/travel_details.php?id=606
 

- ตัวอย่าง Part 2 -