รถไฟจะไป...โทโฮคุ...ปู๊น ปู๊นนนนน

::: JAPAN UPDATE : 2018-03-29 07:16:22

ถ้าอยากเล่นกับหิมะสนุก ว่ากันว่า...ต้องมาที่โทโฮคุหรือภาคเหนือของญี่ปุ่น เพราะเขาว่าหิมะละเอียดมากๆ ดังนั้น เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาหิมะกำลังโปรยปรายพอดี จึงถือฤกษ์งามยามดีไปลุยหิมะ 4 จังหวัดด้วยกัน ได้แก่ มิยะงิ อิวะเตะ อะโอโมริ และ อะคิตะ ทั้งหมด "5 วัน 4 คืน" ด้วยกัน ไปที่ไหนบ้างเดินทางยังไงนั้น ไปดูกันเลยค่า 




เราเริ่มต้นที่สนามบินนาริตะค่ะ จากนั้นก็นั่งรถไฟ Express ไปยัง สถานีโตเกียว ที่นี่เปรียมเหมือน สถานีหัวลำโพงของบ้านเราเพราะเป็นศูนย์กลางของสายรถไฟเหนือ - ใต้ - ออก - ตก แต่หรูหราดีงามและด่วนกว่าบ้านเราเยอะเลย จากนั้นก็ซื้อตั๋วโทโฮคุชินคันเซนเดินทางไปพักยัง เมืองเซนได จ.มิยางิ 1 คืน 






รถไฟจะไปโทโฮคุ ตดดังปร๊าด!!! มิยางิ พล่าม!!!! และคืนนี้เราก็นอนพักที่เมืองเซนได พรุ่งนี้เช้าเราจะมาแนะนำบัสพิเศษสำหรับเดินทางไป จ.อิวะเตะกัน


วันที่ 2 วันนี้เราจะไปเที่ยว จ.อิวาเตะ กันค่ะ ด้วยบัสท่องเที่ยว ชื่อว่า Iwate Kenpoku Bus
บัสท่องเที่ยวนี้จะพาเราเดินทางจาก "เมืองเซนได" ไปยัง "เมืองมรดกโลกฮิระอิซูมิ" ที่นี่ก็คือเป้าหมายหลักของเรา แต่ก่อนจะไปถึงที่นั่น บัสนี้ก็จะแวะยัง "เมืองมัตซึชิมะ" เพื่อชมจุดชมวิวที่สวย 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นก่อน และในบัสยังแจกอุปกรณ์บรรยายสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เป็นภาษาไทยอีกด้วย 
ราคา & รอบรถ : https://goo.gl/oEUdgq




จากนั้นรถบัสก็พาเรามาแวะยังจุดชมวิวที่สวย 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น เมื่อมาถึงบัสก็จะออกไปเลย ดังนั้นเราต้องรอบัสรอบถัดไป


「 วัดซุยกันจิ  」
- วัดซุยกันจิ -
จุดแรกที่บัสพามาแวะ ก็คือ "วัดซุยกันจิ" วัดนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นสมบัติแห่งชาติและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น เพราะภายในวัดล้วนมีศิลปะตั้งแต่สมัยอดีต ที่ยังคงรักษาได้งดงามดั่งเดิม อดีตวัดแห่งนี้เป็นวัดประจำ "ตระกูลของดาเตะ มาซามุเนะ" ซามูไรและขุนพลผู้มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น
*รถบัสที่เราเดินทางมาจะไม่อยู่รอนะจ๊ะ ต้องรอบัสรอบถัดไป
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ ¥ 700 เด็ก ¥ 400


「 วัดซุยกันจิ  」

「 วัดซุยกันจิ  」

- โกไดโดะ -
อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของวัดซุยกันจิ บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวอ่าวมัตซึชิมะ และยังเป็น 1 ใน 3 วิวที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น และภายในอาคารนี้ยังมีพระพุทธรูปโกไดเมียวโอประดิษฐานอยู่ การเข้าชมองค์พระนั้น จะเปิดให้ชม 33 ปีต่อครั้งเท่านั้น
*อย่าลืมเดินชมเพลินจนลืมรถบัสไปอิวะเตะนะจ๊ะ เพราะรอบน้อยมาก


「 โกไดโดะ  」

「 โกไดโดะ  」

จากวัดซุยกันจิ จ.มิยะงิ เราก็รอรถบัสรอบถัดไปมา เพื่อเดินทางต่อไปยัง จ.อิวะเตะ เมื่อได้ขึ้นบัสก็จะใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง บัสก็จะพาเรามาถึง เมืองมรดกโลกฮิระอิซูมิ จ.อิวะเตะ ดินแดนแห่งสถาปัตยกรรมและวัตถุโบราณที่มีความสำคัญทางโบราณคดีของญี่ปุ่น ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วเมืองแห่งนี้ แต่เป้าหมายของเรา ก็คือ วัดจูซนจิ 


「 วัดจูซนจิ  

- วัดจูซนจิ -
ศาลาทองคอนจิคิโด (Konjikido) ด้านในงดงามมาก ๆ เสียดายห้ามถ่ายรูป เพราะข้างในทำมาจากทองทั้งนั้น ความเป็นมาของวัดจูซนจิ สร้างขึ้นโดย ตระกูลฟูจิวาระ กล่าวกันว่าต้องการเป็นสถานที่ที่สวดภาวนาให้กับทั้งทหารและศัตรูที่เสียชีวิตในสงคราม ภายในวัดแห่งนี้ ยังเป็นสถานที่จัดเก็บสมบัติแห่งชาติหรือสมบัติสำคัญทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นผลงานศิลปหัตถกรรมทางพระพุทธศาสนาอีกด้วยค่ะ
ค่าเข้าชม : 800 – 200 เยน


「 วัดจูซนจิ  

「 วัดจูซนจิ  

「 วัดจูซนจิ  

หลังจากเที่ยวชม "วัดจูซนจิ" จนทั่วแล้ว ก็แวะกินอาหารกลางวันที่ ฮิระอิซุมิ เรสเฮ้าส์ ซึ่งในเมนูก็จะเน้นไปที่เต้าหู้และผัก ไม่มีเนื้อสัตว์ หน้าตาอาหารอาจจะดูจืดชืด แต่เขาทำออกมาได้กลมกล่องและอร่อยม้วก!
ร้านนี้ตั้งอยู่หน้าทางเข้าวัดจูซนจิเลย และบริเวณใกล้ๆ กันยังมีร้านของฝากอีกด้วย ซึ่งเมื่อเราใช้บริการบัสนำเที่ยวจะได้รับเครื่องดื่มฟรีอีกหนึ่งแก้วด้วยจ้า
ค่าอาหาร : ประมาณ 1,600 เยน
พิกัด : ตรงข้ามวัดจูซนจิ


「 ฮิระอิซุมิ เรสเฮ้าส์  

- ล่องเรือ แก่งเกบิเกะ -
เมื่อมาเที่ยวชมวัดจูซนจิแล้ว ก็ต้องไม่พลาดกิจกรรมล่องเรือที่แก่งเกบิเก เพราะตลอดเส้นทางการล่องเรือจะพบกับหินผาที่มีรูปร่างแปลกตา และมีเรื่องราวสอดแทรกอยู่ในนั้น 
ค่าล่องเรือ : 1,500 - 1,000 เยน
พิกัด : เดิน 5 นาที จาก Geibikei


「 แก่งเกบิเกะ  

「 แก่งเกบิเกะ  

「 แก่งเกบิเกะ  

เมื่อล่องเข้าไปด้านในสุด ก็จะมีหินแห่งโชคให้เรานำไปโยนเสี่ยงโชคอีกด้วย ใครหวังสิ่งใดก็เลือกตามใจชอบเลย เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังว่า...หินผาเหล่านี้ เดิมทีอยู่แถวฮาวายแต่ค่อยๆ เคลื่อนตัวทีละนิด จนมาอยู่แถวนี้ น่าจะใช้เวลาหลายล้านปีอยู่เนอะ และเมื่อเรานั่งเรือกลับก็จะมีเพลงพื้นบ้านที่ขับร้องโดยฝีพาย ซึ่งปัจจุบันหาฟังได้ยากมากๆ หากกลัวฟังไม่เข้าใจ ที่นี่เขามีโบร์ชัวภาษาไทยให้อีกด้วย


「 แก่งเกบิเกะ  
 
จบจากล่องเรือเกบิเก เราก็ออกเดินทางไปยัง สกีรีสอร์ทต่อ มาหน้าหนาวก็ต้องมีสกีอยู่ในทริปชิมิคะ


「  APPI  

APPI แห่งนี้ ที่นี่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับ ”หิมะแอสพิริน” ก็คือ หิมะที่มีเกล็ดเบา และละเอียด เวลาล้มก็จะเจ็บน้อย หากใครเล่นสกีไม่เป็น ก็สนุกกับกิจกรรมอื่น ๆ ได้ เรียกได้ว่ามาสนุกได้ทั้งครอบครัวลูกเด็กเล็กแดง ที่นี่มีบริการทั้ง ที่พัก อนเซ็น อาณาจักรร้านอาหาร เพราะมีหลายร้านมั่กมาก ที่เช่าชุด มาตัวเปล่าได้เลย! 
การเดินทางก็มีหลากหลายวิธี : https://goo.gl/mrQuab


​「  APPI  

「  APPI  

เมื่อมาอิวะเตะก็ต้องกินเมนูนี้ด้วยนะคะ ขึ้นชื่อยิ่งนัก บะหมี่เย็น เป็นเมนูขึ้นชื่อของเมืองโมริโอกะ จังหวัดอิวะเตะค่ะ เป็นเมนูที่ได้รับอิทธิพลมาจากเกาหลี 
ภายในชามประกอบไปด้วย เส้นหมี่สูตรเฉพาะแช่อยู่ในน้ำซุปเย็น ตกแต่งด้วย ไข่ต้ม กิมจิ แตงกวา และ แตงโม พร้อมกับซอสเผ็ดที่สามารถเลือกใส่ได้ตามใจชอบ เป็นหนึ่งเมนู เมื่อมาอิวะเตะแล้วต้องลองให้ได้


「  APPI  


- อิวะเตะ สู่ อะโอโมริ - 
เช้านี้ออกเดินทางเช้าหน่อยเพราะต้องเดินทางข้ามจังหวัดกัน เพราะอยากจะไปนั่งรถไฟโบราณปลาหมึกย่าง เขาแนะนำว่า...นี่คือ กิจกรรมฤดูหนาวที่ต้องลอง  วิธีที่ที่ใช้เดินทางจะซับซ้อนหน่อย ส่วนใหญ่ก็เดินทางด้วยรถไฟ ทั้งนี้และทั้งนั้นสามารถปรับได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคนเลยน้า การเดินทางหลักๆ ของเราเลย ก็คือ นั่งรถไฟจากสถานี Appi ไปลงที่ สถานี Morioka  เพื่อไปขึ้นชินคันเซนสายโทโฮคุ ไปลงที่ สถานี Shin-Aomori จากนั้นเปลี่ยนเป็นสายรถไฟท้องถิ่น และไปลงที่ สถานี Hirosaki และเปลี่ยนสายรถไฟอีกครั้ง  เพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายของเราวันนี่ที่ สถานี Goshogawara




「Mt.Iwaki 

ภูเขาไฟอิวะกิ ฟูจิซังแห่งสึงะรุ ภูเขาที่เป็นสัญลักของจังหวัดอะโอโมริ 


「  Tsugaru Railways  

「  Tsugaru Railways  

- รถไฟเตาผิง Stove Ressha –
ที่เรามุ่งหน้ามาไกลจากจังหวัดอิวะเตะมาถึงเมืองนี้ ก็เพื่อมาขึ้นรถไฟขบวนพิเศษ ที่มีเฉพาะฤดูหนาวเท่านั้น เป็นสายรถไฟที่วิ่งสั้น ๆ ระหว่าง สถานี Tsugaru Goshogawara กับ สถานี Tsugaru Nakasato ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ดำเนินการโดยบริษัทรถไฟ Tsugaru Railways 


「  Tsugaru Railways  

ขบวนรถไฟนี้ มีชื่อเรียกว่า “Stove-ressha (ขบวนรถไฟเตาผิง)” ซึ่งมีเตาผิงดารุมะ Daruma คอยให้ความอบอุ่นกลางขบวน และเตาดะรุมะนี้ยังมีไว้ย่างปลาหมึกแห้งอีกด้วย ใช่แล้ว!!! เขาย่างปลาหมึกกันในรถไฟเลย ความเก๋มันอยู่ตรงนี้
ค่าโดยสาร : Stove-ressha ค่าโดยสารปกติ+ค่าเตาผิง 400 เยน
ระยะเวลา : ธันวาคม - มีนาคม 
พิกัด : Tsugaru Goshogawara Station, Aomori Prefecture


「  Tsugaru Railways  

ภายในรถไฟจะมีเจ้าหน้าที่คอยย่างปลาหมึกแห้งให้ กลิ่นปลาหมึกก็จะคละคลุ้งไปทั้งขบวน ส่วนตัวไม่เหม็นรู้สึกหอมหวนมาก ๆ เตานี้เรียกว่า ดารุมะ เพราะมีลักษณะอ้วนๆ กลมๆ คล้ายตุ๊กตาดารุมะนั่นเอง และเตานี้ยังคอยให้ความอบอุ่นภายในรถไฟอีกด้วย 


「  Tsugaru Railways  

หลังย่างเสร็จเจ้าหน้าที่จะฉีกเป็นชิ้นๆ ให้ด้วย พร้อมเครื่องดื่ม ซึ่งมีให้เลือก 2 อย่าง ระหว่าง "น้ำแอปเปิ้ล" และ "สาเกแอปเปิ้ล" มาอะโอโมริอะไรๆ ก็เป็นแอปเปิ้ลทั้งนั้น หลังจากกินปลาหมึกไป ปวดกรามไปหมด ค่อนข้างเหนียว แต่อร่อย มันเพลินๆ แต่ก็แอบคิดถึงเครื่องบดของลุงขายปลาหมึกและน้ำจิ้มถั่ว ถ้ามีคงจะฟินกว่านี้


「 สถานีคะนะงิ  

- สถานีคะนะงิ -
การเดินทางของเรามาสิ้นสุดที่สถานีคะนะงิ เพื่อมาแวะกินอาหารกลางวันที่นี่และมีอีกหนึ่งกิจกรรมมันๆ ต้องทำ


「 Jifubuki  

- ทัวร์พายุหิมะ -
หลังกินอิ่มพลังมาพร้อมลุยกิจกรรมมันๆ ต่อ นั่นก็คือ ทัวร์ตะลุยหิมะ หรือ Jifubuki โปรแกรมสัมผัสธรรมชาติลมหิมะ Jifubuki ปรากฏการณ์ที่มีเฉพาะในเมืองหิมะ ก่อนไปเจ้าหน้าที่ก็จะให้เราแต่งองค์ทรงเครื่องก่อน ประกอบไปด้วย Kakumaki (ผ้าคลุมศีรษะและไหล่) Monpe (กางเกงกันหิมะเข้า) Kanjiki (รองโบราณสำหรับเดินบนหิมะ) เมื่อชุดพร้อมแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะนำเรามุ่งสู่ธรรมชาติ บุกตะลุยผจญหิมะ พร้อมกับชมธรรมชาติงามๆ ท่ามกลางหิมะ เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในภูมิภาคอื่น สนุกและมันสุดๆ ได้คลุกหิมะ
ราคา : ผู้ใหญ่ 2,500 เยน เด็ก 500 เยน
พิกัด : Tsugaru Jifubuki-kai,Kanagi, Goshogawara, Aomori Prefecture


「คาเฟ่กิซซะเท็น เอกิชะ 」

- คาเฟ่กิซซะเท็น เอกิชะ - 
หลังจากผจญความหนาวและหิมะสุดมัน ก็มาแวะดื่มกาแฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นซะหน่อย กาแฟของที่นี่เขาก็ใส่แอปเปิ้ลลงไปด้วย อร่อยดีน้า  และที่ต้องมาแวะคาเฟ่นี้ ก็เพราะมีสถานีรถไฟอยู่ด้านหลัง เพราะเราจะต้องขึ้นรถไฟย้ายเมือง จาก Kanagi ไป Goshogawara พิพิธภัณฑ์อันอลังการ


「พิพิธภัณฑ์ทาชิเนะบุตะ 」

「พิพิธภัณฑ์ทาชิเนะบุตะ 」

 
- พิพิธภัณฑ์ทาชิเนะบุตะ -
จากเมืองคะนะงิ เรามุ่งหน้าด้วยรถไฟมายังเมืองโกโชกะวะระ เพื่อจะมาชมพิพิธภัณฑ์โคมไฟที่มีขนาดสูงกว่า 23 เมตร เรียกว่า เนะบุตะ (Neputa) ซึ่งจังหวัดอะโอโมรินั้นมีชื่อเสียงเกี่ยวกับเนะบุตะมากๆ ซึ่งแต่ละเมืองจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป 
อย่างของเมืองโกโชกะวะระ จะเรียกว่า ทาชิเนะบุตะ (Tachineputa) ซึ่งเนะบุตะที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภันณ์ เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนช่วงเทศกาลทานาบาตะ ประมาณ 2 - 7 สิงหาคมของทุกปี ก็จะนำออกมาจากอาคารให้ทุกคนได้ยลโฉม จุดเด่นของงานอยู่ที่ขบวนแห่ของโคมไฟยักษ์เนะบุตะที่งดงามเหล่านี้ พร้อมการแสดงร่ายรำและดนตรีตลอดขบวน เป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่อลังการมากๆ 
เมื่อเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ก็จะพบกับเนะบุตะของจริง! ขนาดจริง! ที่จัดแสดงอยู่มากมาย รวมถึงมีส่วนของการบอกเล่าประวัติความเป็นมา ของเนะบุตะเหล่านี้อีกด้วย
พิกัด : เดิน 10 นาที จาก สถานี Goshogawara ค่าเข้าชม : 600 - 800 เยน




- เมืองโกโชกะวะระ สู่ เมืองฮิโรซากิ -
เดินชมพิพิธภัณฑ์เสร็จ เราก็เดินกลับไปยังสถานีโกโชกะวะระ เพื่อขึ้นรถไฟย้ายเมืองไปยัง เมืองฮิโรซากิ เพื่อไปท่องเที่ยวเมืองนี้ด้วยแว่นตา Smart Glasses 


「สวนสาธารณะฮิโรซากิ 」

「สวนสาธารณะฮิโรซากิ 」


- สวนสาธารณะฮิโรซากิ -
จากสถานีฮิโรซากิเดินทางด้วยแท็คซี่ประมาณ 20 นาที มุ่งหน้าไปยังสวนสาธารณะฮิโรซากิ เพื่อเที่ยวชมความสวยงามของสวนแห่งนี้และปราสาทฮิโรซากิ และที่พิเศษก็คือเขามีการทัวร์ ด้วยแว่นอัจฉริยะ หรือ Smart Glasses ที่ทำให้เราไม่พลาดความสวยงามของสวนแห่งนี้ในทุกๆ ฤดู
ค่าบริการ : เที่ยวชมด้วยสมาร์ทกลาส คนละ 1,000 เยน เที่ยวชมแบบปกติ 310 เยน
พิกัด : เดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 20 นาที จาก สถานี Hirosaki


「Smart Glasses 」


แว่นอัจฉริยะ หรือ Smart Glasses ราคาคนละ 1,000 เยน พร้อมเมนูและเสียงบรรยายภาษาไทย เมื่อเราใส่เข้าไปจะสามารถชมบรรยากาศฤดูอื่นๆ ของสวนแห่งนี้ได้แบบ 360 องศา ประกอบกับเสียงบรรยายบริเวณนั้นๆ เป็นภาษาไทย สร้างความตื่นเต้นในการเที่ยวชมสวนไปอีกแบบ


「สวนสาธารณะฮิโรซากิ 」


ช่วงฤดูหนาวทั้งสวนก็ปกคลุมไปด้วยหิมะ ช่วยทำให้สะพานสีแดงโดดเด้งมากๆ ถ่ายรูปสวยสุดๆ


「สึการุฮัน เนปุตะมุระ 」


- สึการุฮัน เนปุตะมุระ -
มาถึงฮิโรซากิก็ต้องแวะมาชมเนะปุตะของที่นี่บ้าง (เมืองโกโชกะวะชะจะออกเสียง เนะบุตะ) ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เดินจากสวนสาธารณะฮิโรซากิประมาณ 5 นาที  ภายในจะมีการจัดแสดงเนะปุตะรูปแบบเฉพาะของฮิโรซากิ คือ เป็นรูปพัดขนาดใหญ่และวิธีแห่ก็ยังแตกต่างกัน ก็คือ จะก้าวอย่างสุขุม ไม่มีการกระโดด ภายในอาคารนอกจากการจัดแสดงเนะปุตะแล้ว ก็ยังมีประวัติความเป็นมา รวมถึงให้นักท่องเที่ยวลองเข้าไปตีกลองที่ใช้จริงๆ ในขบวนแห่อีกด้วย อีกทั้งบริเวณโดยรอบยังมีร้านของฝากขายอีกมากมาย
ค่าเข้าชม 500 เยน


「สึการุฮัน เนปุตะมุระ 」

「Hirosaki Park Hotel 」


- Hirosaki Park Hotel –
จบจากมื้อเย็นเราก็เดินทางสู่ที่พัก Hirosaki Park Hotel เพื่อกินมื้อเย็น เป็นชุดไคเซกิที่รวบรวมของดีประจำเมืองและประจำฤดูนั้นๆ พร้อมกับมี Tsugaru Shamisen ขับกล่อมตลอดการรับประทานมื้อเย็น เจริญอาหารมากๆ หลับสบายแน่นอนคืนนี้ พรุ่งนี้จะได้มีพลังเดินทางย้ายจังหวัดอีกรอบ
ราคาชุดไคเซกิ 3,500 เยน


「Hirosaki Park Hotel 」

「Hirosaki City 」



- อะโอโมริ ไป อะคิตะ -
เป้าหมายต่อไปของเราก็คือเดินทางจากเมืองฮิโรซากิ จ.อะโอโมริ ไปยัง เมืองคิตะอะคิตะ จ.อะคิตะ วิธีการเดินทางไปจังหวัดอะคิตะก็ง่ายมาก ต่อเดียวจากสถานีฮิโรซากิ ด้วยสาย Ou Line และไปลงที่ สถานีทะกะโนซึ จ.อะคิตะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง




「 รถไฟสายอะคิตะ นะอิริคุ  」


- รถไฟสายอะคิตะ นะอิริคุ -
เหตุผลที่เรามาลงที่สถานีทะกะโนซึ จ.อะคิตะ ก็เพื่อจะมาขึ้นรถไฟขบวนพิเศษที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับ รถไฟชมธรรมชาติ ที่วิวนอกหน้าต่างจะเปลี่ยนไปในแต่ละฤดูแบบไม่ซ้ำกันเลย และด้านในยังตกแต่งด้วย รูปและลวดลายของเจ้าหมาอะคิตะเต็มขบวนเลย ซึ่งเราช่วงฤดูหนาวก็เลยมีอีกหนึ่งภารกิจก็คือ ”ตามล่าหาปีศาจหิมะ” ก็เลยซื้อตั๋วเป็นแบบแพ็คเกจ รวม ค่ารถไฟ + ค่าแท็คซี่ + ค่ากระเช้ากอนโดล่า ทั้งหมด 4,200 เยน


「 รถไฟสายอะคิตะ นะอิริคุ  」


ในขบวนตกแต่งด้วยลวดลายของนุ้งหมาอะคิตะ เจ้าหน้าที่บอกว่า ลองหาดูอาจจะเจอหมีก็ได้


「 รถไฟสายอะคิตะ นะอิริคุ  」


ในแพ็คเกจก็รวมเอกิเบนด้วย เจ้าหน้าบอกว่าเขาคัดเลือกแต่เมนูขึ้นชื่อของอะคิตะมาทั้งนั้น นั่งกินไป ชมวิวไปดี๊ดี


「 รถไฟสายอะคิตะ นะอิริคุ  」


จุดหมายของเรา ก็คือ สถานีอะนิอาอิ เพื่อต่อแท็คซี่ไปตามล่า ปีศาจหิมะกัน วิวสองข้างทางงดงามจริงๆ คือ มีทั้งภูเขา ป่าสน และหิมะ บอกไม่ถูกนอนไม่ลงเลยคือวิวมันชวนให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา


「 Ani Station 」


และนี่ก็คือสถานีเป้าหมายของเรา โลเคชั่นยังกับอยู่ในอะนิเมะ จากนั้นเราก็ตามหาแท็คซี่ยื่นตั๋วแพ็คเกจให้เขาดู ไม่อย่างนั้นจะเสียค่าโดยสารนะจ๊ะ จากนั้นแท็กซี่จะพาเรามุ่งหน้าไปยัง จุดขึ้น Gondola ของ Ani Ski Resort เดินทางประมาณ 30 นาที


「 อะนิ กอนโดล่า  」


- อะนิ กอนโดล่า -
เมื่อมาถึงจุดขึ้นกอนโดล่า เราต้องนำตั๋วแพ็คเกจที่มีไปแลกเป็นตั๋วของกอนโดล่าที่เคาร์เตอร์ขายตั๋วก่อน จากนั้นกอนโดล่าจะพาเราเดินทางมุ่งสู่ยอดเขาโมริโยชิ ที่นี่แหละที่จะไปตามหา ปีศาจหิมะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีจ้า


「 Snow Monter 」

- ปีศาจหิมะ -
และนี่ก็คือปีศาจหิมะ Snow Monter หรือ Juhyo นั่นเอง เจ้าหน้าที่ได้เล่าให้ฟังว่า...(ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง) ปีศาจหิมะเหล่านี้เกิดจาก...ลมได้พัดเอาน้ำทะเลจากทะเลญี่ปุ่น มากระทบกับความเย็นที่ต่ำกว่า -7 บนยอดเขาโมริโยชิ และเกาะเข้ากับ "ต้นสน Aomori-Todomatsu" บนยอดเขา จึงทำให้เกิดเป็นหิมะที่มีความควบแน่นมากกว่าเพราะมีเกลืออยู่ เมื่อมากเข้าจึงมีรูปลักษณ์คล้ายกับปีศาจหิมะตัวใหญ่ยักษ์แบบนี้นั่นเองค่ะ 
ซึ่งมีเยอะมากเป็นพันๆ ต้นเลยค่ะ อยากให้ลองมาดูกัน เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ สุโก้ยยยยยยย!!!!

「 Onsen Yupopo 」

「 Onsen Yupopo 」


- Onsen Yupopo – 
หลังจากชมความอลังการอันน่าอัศจรรย์ที่สร้างสรรค์โดยธรรมชาติเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินทางมาขึ้นรถไฟย้ายไปยังเมือง Kakunodate เพื่อนอนพักและกินมื้อเย็นที่นั่น และเมืองนี้ยังเป็นเมืองสุดท้ายของการมาท่องเที่ยวโทโฮคุในครั้งนี้อีกด้วย ที่เราพักวันนี้เป็นโรงแรมแบบเรียวกัง ก็คือ นอนเสื่อทาทามินั่นเอง มีปูที่นอนเหมือนโนบิตะ และมีอนเซ็นให้แช่คลายความเหนื่อยล้าด้วย
ในส่วนของมื้อเย็น แน่นอนว่าต้องกินชุดไคเซกิท้องถิ่นอยู่แล้ว ซึ่งในชุดอาหารนี้มีหนึ่งเมนูที่มีชื่อเสียงมากๆ ของอะคิตะนั่นก็คือ คิริทัมโปะ คล้ายๆ ข้าวจี่ของบ้านเรา ต้มลงในนาเบะอร่อยมากๆ และได้ชมการแสดงท้องถิ่น เพลินมากๆ เรานอนพักที่ Onsen Yupopo 1 คืน พร้อมเดินทางกลับในตอนเช้าอีกวัน




จบแล้วกับทริป 5 วัน 4 คืน ใน โทโฮคุ มีจังหวัด #มิยะงิ #อิวะเตะ #อะโอโมริ #อะคิตะ บอกได้แค่ว่าสนุก และ แปลกใหม่ สำหรับคนเมืองร้อนอย่างเรามาก ประทับใจที่สุด ก็คือ หิมะ ละเอียด ละมุน ละไม ยังกะมีคนเอาบิงซูมาโปรย ใครอยากสัมผัสหิมะฟินๆ มาโทโฮคุไม่ผิดหวังจริง...จริ๊ง
หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.kingdom-of-winter-trip-tohoku.jp/en/